วงจรอุบาทว์

Base on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

จากสถิติของความรุนแรงในครอบครัว ภรรยาที่ถูกสามีทุบตีทำร้าย เมื่อมีครั้งแรกก็มีแนวโน้มที่จะมีครั้งต่อ ๆ ไป ดั่งชีวิตของ สุชาดา(นามสมมติ) หญิงวัยสามสิบตอนปลาย ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว และผ่านการตบตีของสามีมาถึงสองคน สุชาดามีสามีมาแล้วสองคน เธอมีลูกสาวที่น่ารักสามคนจากสามีคนที่สอง ปัจจุบันเธอและลูกมาขอรับความช่วยเหลือที่บ้านพักฉุกเฉินเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกเธอมาด้วยปัญหาท้องไม่พร้อมและถูกสามีทุบตีทำร้าย ครั้งล่าสุดนี้เธอมาด้วยปัญหาถูกสามีทุบตีทำร้าย และ ตามเบียดเบียนชีวิตของเธอจนไม่รู้ว่าจะหลบหนีไปอยู่ที่ไหนดี...

นายตี๋ (นามสมมติ) สามีคนที่สองที่สร้างวิบากกรรมให้กับชีวิตของสุชาดานั้นเป็นผลพวงที่สืบเนื่องมาจากสามีคนแรกที่ชื่อ นายชัย (นามสมมติ) สุชาดาได้พบกับนายชัยในวัยที่เธอเพิ่งจะเป็นสาวเต็มตัว เธอคบหากับนายชัย ที่มีอายุมากกว่าเธอประมาณหกเจ็ดปี ภาพลักษณ์ของนายชัยกับคนในครอบครัวของสุชาดานั้นเป็นผู้ชายที่แสนดีมีความรับผิดชอบและน่าจะฝากชีวิตไว้กับเขาได้ ตลอดเวลาที่คบกันเป็นแฟนในระยะเวลาสองปี นายชัยเข้านอกออกในบ้านของสุชาดาได้เสมอ แต่สุชาดาไม่สามารถไปที่บ้านของนายชัยได้เพียงสักครั้ง นายชัยให้เหตุผลว่า แม่ของเขาดุมาก แต่แล้ววันหนึ่งนายชัยก็ได้พาสุชาดาไปที่บ้านและขอมีเพศสัมพันธ์ด้วย นั่นคือครั้งแรกที่สุชาดาเสียตัวให้กับนายชัยด้วยความรักและความไว้ใจ แต่กลางดึกคืนนั้นระหว่างที่สุชาดาและนายชัยกำลังหลับ ผู้หญิงคนหนึ่งก็ไขกุญแจเข้ามาในห้องกลางดึก เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเพราะผู้หญิงคนที่เข้ามากลางดึกคืนนั้นคือ ภรรยาของนายชัย สุชาดารู้แน่แก่ใจเลยว่าที่นายชัยบอกว่าแม่ดุนั้นมันคือคำโกหกเพราะจริง ๆ แล้ว คือ เมียดุต่างหาก “พอรู้ความจริงเราก็อึ้ง แบบเสียใจมาก เราถูกเขาหลอกเราไม่เหลือแล้วความซิงไม่มีแล้วใครจะมาเอาเรา หลังจากนั้นก็พยายาม เลิกกับมัน ๆ ก็ไม่ยอม ยังตามรังควานตามตื๊อให้กลับไปอยู่กับมัน เป็นผู้ชายที่ตบตีเราครั้งแรก ก็ไม่รู้จะทำยังไงมันตบเห็นดาวครั้งแรกเลยกลางถนน” สุชาดาเหมือนคนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิต เพราะตลอดเวลาญาติ ๆ ก็ไว้วางใจว่าเขาเป็นคนดีและก็ยังสนับสนุนเขาอยู่ตลอดเพราะเขาเคยสร้างภาพที่ดีไว้

“เราก็ไม่รู้จะทำไงแล้วนายตี๋ก็มาจีบเราพอดี...ก็เลยคิดว่า...เอาวะเราก็ไม่ซิงแล้วไม่มีอะไรจะเสียแล้วก็เลยเอาคนนี้ก็ได้วะ”

ดังนั้นด้วยการอยากหลบหนีจากนายชัยที่มีเมียอยู่แล้วจึงทำให้สุชาดาตัดสินใจโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองถึงปัญหาที่จะตามมาในอนาคต สุชาดาจึงคบกับนายตี๋ได้เพียงไม่นาน สุชาดาก็ได้ย้ายไปอยู่บ้านของนายตี๋เลยเพื่อจะได้พ้นจากการแย่งสามีชาวบ้านซะที พอพ้นจากนายชัยมาเจอนายตี๋อยู่กันสามสี่เดือนนายตี๋ก็เริ่มลงไม้ลงมือตบตีมาเรื่อย ๆ

“ก็ทำไงได้ก็ต้องทนเพราะเราดันไปเลือกมันมาแล้ว ใครจะไปคิดล่ะว่าหนีเสือจะมาเจอจระเข้ ก็อดทนกับผู้ชายคนนี้มาเรื่อยๆ ให้โอกาสสอง สามครั้งได้มั้ง ก็ไม่ได้ดีขึ้นมีแต่แย่ลง”

แล้วหลังจากมีลูกสาวคนที่สองจึงแยกทางกันเพราะไม่ไหว ทั้งเรื่องตบตีทำร้าย ติดยา อีกทั้งยังมีผู้หญิงอื่นเข้ามาให้สุชาดาช้ำใจหนักเข้าไปอีก แต่แม้จะแยกทางกันไปหลายปีจนลูกสาวคนโตกำลังจะย่างเข้าวัยรุ่น นายตี๋ก็ยังจะโคจรกลับมาในชีวิตของสุชาดาอีก โดยเข้ามาทางลูกสาวมาทำเป็นดูแลเอาใจใส่ลูก และแสดงตนว่าตนเองมาในฐานะพ่อของลูกไม่ได้จะกลับมาในฐานะสามี ซึ่งลูกสาวของสุชาดาก็ใจอ่อนเพราะก็อยากมีพ่อเหมือนเด็กคนอื่นๆ สุชาดาเองนั้นก็เลยต้องยอมให้นายตี๋เข้ามามีบทบาทในฐานะพ่อของลูกและกลับมาเข้านอกออกในที่บ้านได้เช่นเดิม นายตี๋เข้ามามีอิทธิพลกับสุชาดาอีกครั้ง นายตี๋มักจะพูดเป่าหูทุกวันให้ออกจากงานมาดูแลลูก ลูกโตเป็นสาวแล้วต้องมีเวลาให้ลูก หนัก ๆ เข้าสุชาดาก็เริ่มเห็นจริงดั่งที่นายตี๋บอก สุชาดาจึงออกจากงานเพื่อมาดูแลลูกส่วนค่าใช้จ่ายในครอบครัวนายตี๋บอกว่าจะรับผิดชอบเอง นายตี๋ทำงานขับรถแท็กซี่ ให้เงินสุชาดาและลูกวันละ300-400บาท เขารับผิดชอบตามที่บอกกับสุชาดาได้เพียงเดือนเดียวพอเข้าเดือนที่สองก็กลับสู่วงจรเดิม ๆ คือ วงจรอุบาทว์ ไม่มีเงินมาให้กลับไปเล่นยา หึงหวงมีปากเสียง เมื่อไม่มีเงินสุชาดาตัดสินใจที่จะออกไปทำงานอีกจึงทะเลาะทุบตีเตะต่อยสุชาดาเช่นเดิม ตอนที่สุชาดายังไม่ท้องลูกคนเล็กเธอก็ไม่เคยยอมมีความสัมพันธ์กับนายตี๋อีก แต่ด้วยความที่นายตี๋สามารถเข้าออกที่บ้านได้วันหนึ่งจึงใช้กำลังบังคับมีเพศสัมพันธ์กับเธอจนต่อมาสุชาดาจึงตั้งครรภ์ลูกคนสุดท้อง ขณะที่สุชาดาท้องได้ประมาณสองเดือนเธอจึงคิดไปทำแท้งโดยกู้เงินพื่อนบ้านไปทำแต่เงินเธอไม่พอจึงไม่สามารถทำได้ กลับมานอนคิดที่บ้านแล้วจึงตัดสินใจไม่ทำแท้งและได้ตัดสินใจไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง จนท้องได้หกเดือนจึงต้องออกจากงาน เมื่อถามถึงนายตี๋หรือพ่อของลูกสุชาดาบอกว่า

“เขาก็รู้ว่าเราท้อง เขาโผล่หน้ามาดูแล้วทำสายตาแบบสมน้ำหน้าแล้วที่เราพินาศไม่มีใครเอา เขาเหมือนคนที่มาขัดความเจริญไม่อยากให้เราได้ดีเห็นเราไม่มีทางไปเขาจะมีความสุข ส่วนลูกก็รู้แล้วว่าพ่อเขาเป็นอย่างไร... เราก็พอแล้วจบกับผู้ชายคนนี้ซะที”

สุชาดาจึงพาลูกออกมาจากบ้านเพื่อมาขอความช่วยเหลือที่บ้านพักฉุกเฉินเป็นครั้งแรกโดยคิดว่า... ยังไงมาอยู่บ้านพักฉุกเฉินก็ยังดีกว่ากอดคอกันจมน้ำตายอยู่ข้างนอกหมด ขอเอาลูก ๆ ให้รอดมีที่อยู่ที่กินไว้ก่อน สุชาดาจึงได้มาคลอดลูกคนสุดท้องที่บ้านพักฉุกเฉิน พักฟื้นหลังคลอดได้เพียงเดือนกว่าสุชาดาจึงพาลูกกลับไปบ้าน ระหว่างที่สุชาดาออกไปทำงาน เธอจ้างคนเลี้ยงลูกคนเล็ก ลูกสาวคนกลางไปโรงเรียน ส่วนลูกสาวคนโตนั้นสุชาดาได้ส่งไปเข้าโรงเรียนประจำที่ต่างจังหวัด ชีวิตของสุชาดาและลูก ๆ เริ่มกลับมาสู่ความปกติสุข

แต่แล้วไม่นานนายตี๋ตัวอัปมงคลของครอบครัวก็กลับมาวุ่นวายกับชีวิตของสุชาดาอีก นายตี๋มีอาการเมายา เข้ามาหาเรื่อง หึงหวง ตบตี ทำร้ายร่างกาย จนสุชาดาต้องไปแจ้งความ ตำรวจสรุปคดีว่าเป็นเพียงทะเลาะวิวาทเท่านั้นและให้นายตี๋เสียค่าปรับ 500 บาท แล้วก็ปล่อยตัวไป สุชาดาเล่าให้ฟังด้วยความโกรธแค้นว่า

“เราก็บอกตำรวจว่าทำงี้ได้ไงดูซิ เงินซื้อนมให้ลูกมันยังไม่มีแต่มันมีเงินมาเสียค่าปรับ คุณตำรวจคิดดูซิ แล้วตำรวจก็บอกเราว่า... ถ้ามีรอบสองก็จะดำเนินคดีให้ เราเลยบอกว่างั้นก็ต้องรอรอบสองให้มันทำหนูถึงตายก่อนเลยเหรอ ตำรวจก็บอกว่าไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เราก็เลยมาคิดว่าถ้าอย่างนั้นชีวิตเราก็มิต้องอยู่ในความคุ้มครองของสถานสงเคราะห์ไปตลอดชีวิตเลยเหรอ... แล้วอย่างนี้เราจะดำเนินชีวิตภายนอกได้ยังไง เพราะว่ามันก็รู้จักบ้านเราเดี๋ยวมันก็กลับมาวุ่นวายกับเราอีก”

แต่นับว่าสุชาดายังพอจะมีบุญอยู่บ้าง เพราะหลังจากที่สุชาดาได้พาลูกหนีจากการรังควานจากนายตี๋มาอยู่บ้านพักฉุกเฉินเป็นครั้งที่สอง เธอได้ข่าวร้ายของนายตี๋แต่เป็นข่าวดีของเธอว่า…

“มันโดนคดีขับมอเตอร์ไซด์ไม่มีทะเบียนแล้วบังเอิญว่ามอเตอร์ไซด์คันนั้นเป็นรถที่มีการขโมยมา มีการแจ้งหายเอาไว้ มันก็เลยต้องติดคุกไป ก็สมน้ำหน้ามันไปกรรมของมันโดนข้อหารับของโจรอยู่ในซังเต”

สุชาดายังได้เปิดเผยความรู้สึกของการเข้ามาอยู่ในบ้านพักฉุกเฉินว่า

“อยู่บ้านพักก็ได้ที่ตั้งหลัก บ้านพักฉุกเฉินให้ความช่วยเหลือเราโดยไม่มาต่อว่านินทาเราเหมือนเวลาที่เราต้องบากหน้าไปพึ่งคนอื่น มีแต่คนด่าว่านินทาเราลับหลัง มาอยู่นี่ก็ไม่ท้อ ไม่เครียด ก่อนมาบ้านพักนี่บอกตรง ๆ เลยว่าท้อมากแต่ตอนนี้เราเริ่มมองเห็นอนาคตมากขึ้น”

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1 ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org

Facebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง www.facebook.com/apswthailand.org หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org